line@ask
tel@
share

7 คลื่นการเปลี่ยนแปลงบนโลก E-COMMERCE ปี 2020 สำหรับธุรกิจรีเทล ที่ผู้ประกอบการต้องรู้

 

หากย้อนไปสัก 2-3 ปีที่แล้ว เรื่องนี้อาจเป็นแค่การ “คาดการณ์” แต่วันนี้ สถิติและการเติบโต ของแพลตฟอร์มต่างๆ ในอีคอมเมิร์ชที่เกิดขึ้น ได้ตอกย้ำว่า คลื่นแห่งความเปลี่ยนแปลงนี้กำลังถาโถมเรา อย่างรุนแรงและรวดเร็ว

สถิติจาก www.statista.com รายงานว่า ในปี 2562 การซื้อขายผ่านอีคอมเมิร์ชเฉพาะ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีมูลค่าสูงถึง 100,000 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่ยอดขายค้าปลีกจากทั่วโลก สูงถึง 3.53 ล้านล้านดอลลาร์ และคาดการณ์ว่ายอดขายดังกล่าวจะเติบโตเป็น 6.54 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2565 (หรือภายใน 3 ปีข้างหน้า)

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้ผู้ประกอบการที่อยู่ในสังเวียนตลาดตระหนักว่า จะประมาทและอยู่เฉยไม่ได้อีกต่อไป และนี่คือข้อมูลสำหรับการปรับตัว 7 Trend E commerce ที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2020

 

  1. Google จะลงมาลุยตลาดอีคอมเมิร์ช โดยใช้แพลตฟอร์ม Google Shopping

ไม่ว่าคุณจะใช้หรือไม่ใช้บริการนี้ก็ตาม แต่ Google shopping จะเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน โดยไม่รู้ตัว กูเกิ้ลมีเป้าหมายในการเจาะช่องว่างของการตลาดออนไลน์ โดยทำตัวเป็น “แพลตฟอร์ม หรือ ตลาดซื้อขายออนไลน์” ซะเอง

ตลอดเวลาที่ผ่านมา Google shopping ได้พัฒนาและออกแบบเพิ่มเติม โดยจะมีฟีเจอร์ใหม่ๆ เพื่อซัพพอร์ตผู้บริโภคและมีแนวโน้มว่ากระแสของ Google shopping น่าจะมาแรง จริงๆ แล้วนี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะตลอดปี 2019 ที่ผ่านมา กูเกิ้ลได้ปล่อยของออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น

  • หน้า homepage มีการโชว์ฟีเจอร์ช่วยช็อปปิ้งออกมาทั้งการแนะนำที่เป็นประโยชน์ การรีวิว หรือแม้กระทั่งการช่วยหาเรื่องแหล่งซื้อของที่คุณกำลังสนใจอีกด้วย
  • บางครั้งกูเกิลก็ส่งข้อความมาเตือนในอีเมล์ หรือโทรศัพท์ของคุณ ว่า wish list ของคุณกำลัง ลดราคาอยู่ที่ไหนบ้าง และใครขายราคาเท่าไร
  • ข้อสุดท้ายเป็นหมัดฮุคของกูเกิล นั่นคือ เมื่อช่วยคุณหาของแล้ว คุณยังสามารถซื้อของ โดยตรงผ่าน Google ได้ทันทีอีกด้วย

 

สิ่งนี้สำคัญอย่างไรกับธุรกิจของคุณ?

นี่คือการท้าทาย Amazon shopping ครั้งใหญ่ เพราะว่ากูเกิ้ลมี “ข้อมูลผู้บริโภค” อยู่เต็มไปหมด กูเกิ้ลรู้ว่าใครกำลังสนใจอะไร อยากได้สินค้าตัวไหน ข้อมูลเหล่านี้คือตลาดขนาดใหญ่ ที่รู้ข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภค ที่สำคัญคือ ถ้าคุณอยากจะขยายตลาดไปต่างประเทศ Google shopping platform ก็น่าจะเป็นจุด เริ่มต้นที่มีศักยภาพสูงมากในอนาคต

 

  1. การมีช่องทางชำระเงินหลากหลาย จะกลายเป็นปัจจัยพื้นฐานของตลาดออนไลน์ที่ต้องมี

นี่คือพื้นฐานสำคัญหากคุณอยู่ในตลาดอีคอมเมิร์ช แนวโน้มในปีหน้า ผู้บริโภคจะ มีทางเลือกในการ ชำระเงินเพิ่มขึ้น การช็อปปิ้งจะง่ายขึ้น กล่าวคือ การจ่ายเงินจะไม่ได้มีแค่ช่องทางหลัก อย่าง Master card, visa card หรือ American express เท่านั้น แต่ยังมีทางเลือกอื่นๆ อีกมาก เช่น E-wallets, Mobile banking Paypal, Stripe, Apple/Android pay, Alipay และ Shopify หรือแม้แต่การเก็บเงินปลายทาง

 

สิ่งนี้สำคัญอย่างไรกับธุรกิจของคุณ?

คุณต้องปรับตัว และต้องสร้างช่องทางการจ่ายเงิน เพื่อช่วยอำนวยความสะดวก ให้กับลูกค้าให้ มากที่สุด รู้ไหมว่า ในแต่ละวันมีลูกค้าทิ้งของไว้ในตระกร้าช็อปปิ้งจำนวนมาก เพราะหงุดหงิดกับช่องทาง การจ่ายเงินที่ไม่พร้อมใช้งาน

อย่าลืมว่าลูกค้าที่ช็อปปิ้งผ่านอีคอมเมิร์ช มีพฤติกรรม อดทนไม่ได้ รอไม่เป็น บางครั้งคู่แข่งอาจจะ ขายแพงกว่า แต่ว่าระบบซัพพอร์ตทำได้ดีกว่า ก็สามารถทำให้เปลี่ยนใจไปยอมจ่ายแพงกว่าได้

 

  1. ความคาดหวังเรื่องความรวดเร็วในการขนส่งจะเพิ่มมากขึ้น

สำหรับข้อนี้ ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรงก็คือ Logistic ซึ่งจะต้องมีการพัฒนาระบบการ ขนส่งให้ตอบสนองความคาดหวังดังกล่าวให้ได้  นักวิเคราะห์ฟันธงว่า การขนส่งสินค้าถึงมือ ผู้บริโภคภายในวันที่สั่งซื้อ หรืออย่างช้าคือวันรุ่งขึ้น จะกลายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญของธุรกิจอีคอมเมิร์ชในปี 2020 และสิ่งที่ลูกค้าคาดหวังเรื่องการขนส่งก็คือ เร็ว ฟรี และมั่นใจได้

 

สิ่งนี้สำคัญอย่างไรกับธุรกิจของคุณ?

ความคาดหวังในเรื่องนี้ จะกลายเป็น ความกดดันของผู้ประกอบการ เพราะจะต้องรับมือ กับค่าใช้จ่ายที่สูง ขึ้นจากบริษัท Logistic ในขณะที่ลูกค้านั้น คาดหวัง ว่าจะต้องส่งฟรี คุณจึงต้องทบทวนระบบการขนส่ง ที่ใช้อยู่ ว่าตอบโจทย์ความ คาดหวังของลูกค้าได้หรือไม่ และคุณจะปรับปรุงมันอย่างไรในปี 2020

 

  1. AI จะมีบทบาทมากขึ้น

เทรนในปี 2020 สำหรับเรื่องนี้ก็คือ การใช้ AI เพื่อให้บริการ อัตโนมัติจะมีมากขึ้น และขยายขอบเขต การให้บริการเพิ่มขึ้น มีการพัฒนาเพื่อที่ให้เกิดความสะดวก รวดเร็วและช่วยลูกค้าแก้ปัญหาได้มากขึ้น ในทุกเรื่อง มีการคาดการณ์ว่าตัวเลขการใช้ AI จะเพิ่มจาก 4% เป็น 14% นอกจากนี้แล้ว ยังมีการใช้ AI สำหรับการพัฒนาด้านเส้นทางและระบบ Logistic ทั้งหมดอีกด้วย

 

  1. ‘Shoppertainmemt’ จะเติบโต และกลายเป็นกลยุทธ์ทางการตลาด

สิ่งที่เห็นได้ชัดเกี่ยวกับคำว่า ‘Shoppertatinment’ ก็คือ การสร้างคาร์แรคเตอร์ของผู้ขาย แล้วทำการ Live สด ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดในเมืองไทยก็คือ แบรนด์บังเทศ นอกจากนี้แล้ว ยังรวมถึง Influencer และ Blogger ที่ช่วยรีวิวสินค้า ก็อยู่ในหัวข้อนี้เช่นกัน เทรนด์ของการขายแบบ Live สด ยังคงมาแรง เพราะเคยสร้าง ปรากฎการณ์ยอดขายถล่มทลายหลักหมื่นชิ้นภายในไม่กี่นาทีมาแล้ว สาเหตุที่ทำให้ Livesteaming ได้รับ ความนิยมในการช็อปปิ้งออนไลน์ เพราะลูกค้าสามารถ พูดคุยโต้ตอบกับผู้ขายได้และเห็นสินค้าได้ทุกมุมนั่นเอง

 

สิ่งนี้สำคัญอย่างไรกับธุรกิจของคุณ?

Livestreaming กำลังเฟื่องฟูในประเทศจีน ซึ่งคาดว่าวิธีการขายแบบนี้ จะมีมูลค่าตลาดสูงถึง 12.6 พันล้าน Dollar ภายในปี 2563 ในขณะที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็เริ่มมีปรากฎการณ์ของ Shopee ซึ่งเพิ่งเปิดตัว Livesteam ในเดือนมีนาคม 2019 ที่ผ่านมา ยอดวิวของ Shopee ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมกับไต้หวัน มียอดวิวสูงถึง 200 ล้านวิว

ปรากฎการณ์นี้ อาจจะมาจากความต้องการที่จะเชื่อมต่อกับมนุษย์แบบไม่ต้องรอ เห็นกันสดๆ พร้อมกัน และซื้อของได้ทันทีโดยไม่ต้องออกจากบ้าน สำหรับแบรนด์แล้ว นี่คือโอกาสในการสร้างเนื้อหาแบบ real time ในขณะที่ฝั่งผู้บริโภค ก็สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทันที เรียกได้ว่า ซื้อง่ายขายคล่อง นั่นเอง

 

  1. การเกิดขึ้นของ progressive web app จะมีมากขึ้น

ในปี 2020 ระบบการซื้อขายหรือแพลตฟอร์มจะเปลี่ยนจากเว็บไซต์ต่างๆ มาเป็น progressive web app มากขึ้น นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า progressive web app จะเพิ่มขึ้นมากกว่าแอปพลิเคชั่นพื้นฐานต่างๆ ถึง 50% ซึ่ง progressive web app จะคล้ายกับเว็บไซต์บวกกับแอปพลิเคชั่น นั่นคือ อัพโหลดง่ายและเร็วกว่า เว็บไซต์มาก ถึงแม้จะอยู่ในพื้นที่ความเร็วอินเตอร์เน็ตต่ำ แต่ก็ยังอัปโหลดได้ลื่นไหล ซึ่งด้วยจุดแข็งดังกล่าว ในอนาคตอันใกล้นี้ progressive web app จะมีบทบาทมากขึ้น และเข้าถึงผู้บริโภคง่ายขึ้นอีกด้วย

 

สิ่งนี้สำคัญอย่างไรกับธุรกิจของคุณ?

ถ้าเว็บไซต์ของคุณไม่เวิร์ค ลองหาช่องทางพัฒนา Solution progressive web app ดู เพราะว่า ความเร็วในการโหลดจะสูงขึ้น ซึ่งจะสามารถแก้ปัญหาพฤติกรรมอดทนไม่ได้ รอไม่เป็นของผู้บริโภคได้

 

  1. การซื้อซ้ำและซื้อขายของมือสองกำลังเติบโตขึ้นเช่นกัน

เทรนด์การซื้อขายของมือสองกำลังเติบโต ด้วยสาเหตุหลักๆ คือ ผู้บริโภครุ่นใหม่เบื่อง่าย  รวมถึง

เทรนของแฟร์ชั่นที่มาเร็วไปเร็ว ทำให้ต้องช็อปฯ ซื้อซ้ำกันบ่อยๆ และเมื่อซื้อเพิ่มมากขึ้น อัตราการปล่อย ของขายออก เป็นของมือสองก็มากขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้แล้ว เทรนด์ของการตระหนักเรื่อง สิ่งแวดล้อม ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนรุ่นใหม่ขายของมือสองมากขึ้น เพราะไม่อยากทิ้งให้ของตัวเองกลายเป็นขยะนั่นเอง

 

ตัวเลขที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้คือ

  • 64% ของผู้หญิงรู้สึกโอเคกับการซื้อของมือสอง
  • 59% ของผู้บริโภคคาดหวังว่า ผู้ผลิตเสื้อผ้าจะมีความรับผิดชอบและผลิตเสื้อผ้าที่มีความทนทาน
  • 49% ของผู้บริโภคจะให้การสนับสนุนบริษัทที่ให้ความสำคัญกับเรื่องอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

 

จากเทรนด์ที่กำลังจะเกิดขึ้นทั้งหมด ทำให้เราปฏิเสธอานุภาพความรุนแรงของคลื่นแห่ง E-commerce ไม่ได้อีกต่อไป

เพราะตัวเลขไม่เคยโกหก สถิติดังกล่าวได้ตอกย้ำว่า อีคอมเมิร์ชไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่มันคือความจริง ที่เป็นทั้งโอกาสและอาวุธสำคัญในการทำธุรกิจให้เติบโตแบบฉุดไม่อยู่ และในทางกลับกัน หากไม่ยอมปรับตัว คลื่นแห่งความเปลี่ยนแปลงนี้อาจจะซัดสาดจนธุรกิจล้มแบบไม่มีที่ยืนก็ได้เช่นกัน

ขอบคุณบทความจาก : https://postconnex.in.th/

« กลับ